จัดขึ้นเพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และ ข้าราชการดื่มน้ำสาบานว่าจะจงรักภักดีและซื่อตรงต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการให้สัตย์สาบานสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้นมีหลักฐานวรรณกรรมเรื่อง ลิลิตโองการแช่งน้ำ ใช้เป็นประกาศคำถวายสัตย์ในพระราชพิธีถือน้ำ พระราชพิธีดังกล่าวนี้ยังประกอบในโอกาสต่างๆ เช่น พระราชพิธีถือน้ำเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีถือน้ำเมื่อออกสงคราม นอกเหนือไปจากที่กระทำเป็นประจำทุกปี ๆ ละสองครั้ง ในสมัยอยุธยาข้าราชการถือน้ำที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมาย้ายไปที่วิหารพระ มงคลบพิตร เมื่อถือน้ำแล้วใช้ดอกไม้ธูปเทียนไปถวายบังคมพระเชษฐบิดร เป็นเทวรูปฉลองพระองค์ของพระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แล้วจึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน หากผู้ใดไม่สามารถเข้ามาถือน้ำในกรุงศรีอยุธยาได้ จะประกอบพระราชพิธีถือน้ำที่วัดอารามใหญ่ ๆ ในท้องที่นั้น
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในสมัยอยุธยาจะประกอบพระราชพิธีนี้ในวาระต่าง ๆ ๔ วาระด้วยกันคือ (สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ๒๕๓๙ : ๑๑๘ – ๑๔๘)
- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยสิริราชสมบัติ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต พระบรมโอรสาธิราชผู้สืบราชสมบัติ ปรงโปรดเกล้าฯให้มีพระบรมราชโองการให้พระบรมวงนุสานุวงศ์ ข้าราชกาล เจ้าหัวเมืองน้อยใหญ่มาเข้าเฝ้ายังพระราชวังเพื่อดื่มน้ำถวายสัตย์สาบานแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินองศ์ใหม่- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปี อันประกอบด้วยเดือนห้าและเดือนสิบ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตรวจสอบบรรดาข้าราชกาลและเจ้าหัวเมืองต่าง ๆ หากผู้ใดไม่เข้ามาร่วมพิธีก็จะถือว่าเป็นกบฏ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่ข้าราชการด้วย
- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในสงคราม เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินและประเทศชาติที่กำลังจะเสียสละชีวิตในการออกสงคราม เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังให้แก่เหล่าทหาร เพราะน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้นถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย
- พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในทางการเมือง ถือเป็นพิธีช่วยประสานไมตรีและสร้างความมั่นคงทางการเมืองของบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ จะประกอบพระราชพิธีก็ต่อเมื่อเห็นว่า หัวเมืองนั้นแสดงความกระด้างกระเดื่องมีแนวโน้มจะแข็งเมือง
ในสมัยรัตนโกสินทร์กำหนดปีหนึ่งนั้นให้ประกอบขึ้น ๒ ครั้ง คือ ใน วันขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๕ และ วันแรม ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ การถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในกรุงรัตนโกสินทร์ มี ๕ อย่างคือ (สมปราชญ์ อัมมะพันธุ์, ๒๕๓๖ : ๓๐๗)
๑. ถือน้ำเมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้รับราชสมบัติ เป็นพิธีจร
๒. ถือน้ำสำหรับผู้ที่ได้รับราชกาลอยู่แล้ว ต้องถือน้ำปีละ ๒ ครั้ง เป็นพิธีประจำ ท้ายพระราชพิธีพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ เข้าสู่เดือน ๕ ครั้งหนึ่ง และพิธีสารท เดือน ๑๐ ครั้งหนึ่ง
๓. ถือน้ำสำหรับผู้ซึ่งมาจากเมืองปัจจามิตรเข้ามาสู่บรมโพธิสมภาร เป็นพิธีจร
๔. ถือน้ำสำหรับทหารซึ่งถืออาวุธอยู่เสมอ ต้องถือน้ำทุกเดือน เป็นพิธีประจำ ประกอบขึ้นในวันขึ้น ๓ ค่ำของทุกเดือน
๕. ถือน้ำสำหรับผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาราชการ ต้องถือน้ำทุกเดือน เป็นพิธีจร
การพิธีถือน้ำประกอบขึ้นที่วักพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งพระพุทธรูปชัยวัฒน์เงิน รัชกาลที่ ๑ พระชัย รัชกาลที่ ๕ พระชัยเนาวโลหะน้อยสำหรับนำเสด็จพระราชดำเนิน พระปริยัติธรรมสามพระคัมภีร์ และเทวรูปพระอิศวร พระอุมา พระนารายณ์ พระพรหม พระแสงศรสาม พระแสงพอกเพชรรัตน์ พระแสงต่าง ๆ สำหรับจุ่มลงในหีบมุขบรรจุน้ำตั้งอยู่หน้าโต๊ะหมู่พระพุทธรูป มีพระชันหยก เทียนสำหรับพระราชพิธี พระถ้วยแก้วโมราจานรองกรอบทองคำประดับเพชร เครื่องต้นสำรับหนึ่ง ริมฐานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีม้าเท้าคู้ทองเหลือง ตั้งหมอน้ำเงินสิบสองหม้อ ขันสาครตั้งข้างล่างสองขัน โยงสายสิญจน์ถึงกันตลอด พระสงฆ์ ๓๘ รูปเจริญพระพุทธมนต์
พระมหาราชครูอ่านโองการแช่งน้ำ เมื่ออ่านโองการจบ เจ้ากรมพราหมณ์พฤฒิบาศเชิญพระแสงดาบออกจากฝัก ชุบน้ำในหม้อเงินและขันสาครทุกใบไปพร้อม กับที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ดนตรีประโคม เมื่อชุบพระแสงศาสตราเสร็จ พระมหาราชครูแห่น้ำที่ชุบพระแสงลงในเครื่องโมราเครื่องต้น เจือกับน้ำพระราชพิธีพราหมณ์ จากนั้นเจ้ากรมพฤฒิบาศรับพระขันหยกไปเท เจือปนในหม้อเงินและขันสาคร
พระมหาราชครูพิธีนำน้ำมาถวายพระเจ้าแผ่นดินเสวย ซึ่งแต่เดิม ผู้ที่ถือน้ำนั้นจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าหัวเมืองประเทศราชทั้งหลาย ข้าราชการเท่านั้น มาครั้งรัชกาลที่ ๔ ทรงเริ่มที่จะถือน้ำด้วย เป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อการบริหารประเทศและอาณาประชาราชทั้งหลาย เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยเสร็จ จึงเป็นลำดับของพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าหัวเมือง และบรรดาข้าราชกาลตามลำดับศักดินาที่มีตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป ส่วนบรรดาพวกที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงจะประกอบพระราชพิธีถือน้ำในวันเดียวกันนี้ที่อารามหลวง อนึ่งถ้าผู้ใดขาดการถือน้ำจะมีโทษถึงตายยกเว้นแต่ไข้ป่วย (สมปราชญ์ อัมมะพันธุ์, ๒๕๓๖ : ๓๐๙)
คำประกาศถวายสัตย์สาบานในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชการที่ ๕ มีดังนี้
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกระทำสัตยาธิฐานสบถสาบานถวายแต่พระเจ้าอยู่หัวจำเพาะพระพักตร์ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำราชกาลฉลองพระเดชพระคุณโดยสัจสุจริต ซื่อตรง แต่ความสัจจริง มิได้กบฏประทุษร้าย มิได้เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อไว้แก่ไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดน เพื่อจะให้กระทำประทุษร้ายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ถ้ามีการศึกยกมากระทำแก่พระนครก็ดี พระพุทธเจ้าอยู่หัวจะใช้ข้าพระพุทธเจ้าไปกระทำสงครามแห่งใด ตำบลใดก็ดี ถ้าข้าพระพุทธเจ้าเกรงกลัวข้าศึกมากกว่าเจ้า ไม่ทำการเอาชัยชนะข้าศึกได้ ขอให้เทพยเจ้าอันรักษาโลกในมงคลจักรวาฬ หมื่นโกฎิจักรวาฬแสนโกฏิจักรวาฬ มาเข้าดลพระทัยพระเจ้าอยู่หัว ให้ตัดหัวผ่าอกข้าพระพุทธเจ้า แต่ในปัจจุบันขณะเดียวนี้เถิด อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นแก่จักษุได้ฟังแก่โสต รู้ว่าผู้อื่นคิดกบฏประทุษร้ายด้วยความทุจริตผิดด้วยพระราชบัญญัติ แล้วนำเอาเนื้อความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ ถ้าข้าพระพุทธเจ้ามิได้ ตั้งอยู่ในความสัจสาบานดุจกล่าวมานี้ ขอจงภูมิเทวดา อารักษเทวดา อากาศเทวดา รุกขเทวดา ท้าวจตุโลกบาล ท้าวอัฐโลกบาล ท้าวทัศโลกบาลอันมีฤทธิ์สิทธิศักดิ์ลงสังหารผลาญชีวิต ฯ ข้า ฯ ให้ฉินทภินทะพินาศ ด้วยอุปะปีฬก, อุปเฉทคกรรมุปะฆาฏด้วยอัสนีบาตรสายฟ้าฟาด ราชสัตถาวุธดาบ องครักษ์จักรนารายณ์ กระบือเสี่ยว ช้างแทง เสือสัตว์อันร้ายในน้ำในบก จงพิฆาฏอย่าให้ปราศจากปัญจวีสติมหาภัย 25 ประการ และทวดึงส์ กรรมกรณ์ 32 ประการ ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารับพระราชทานน้ำพิพัฒน์สัจจาธิษฐานนี้แล้ว จงบันดาลให้เกิดฝีพิษ ฝีกาลอติสารชราพาธ ฉันนะวุติโรคร้าย 96 ประการ ให้อกาลมรณภาพตายด้วยความทุกข์เวทนาลำบากให้ประจักษ์แก่ตาโลกใน 3 วัน 7 วัน แล้วจงไปบังเกิดในมหานรกหมกไหม้อยู่สิ้นแสนกัลป์อนันตชาติ ครั้งสิ้นกรรมจากที่นั้นแล้ว แล้วจงไปบังเกิดในภพใด ๆ อย่าให้ข้าพระพุทธเจ้าพบพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ซึ่งจะมาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เลย ถ้าข้าพระพุทธเจ้าตั้งในกตัญญูกตเวที ความสัจสุจริตโดยบรรยายกล่าวมาแต่หนหลัง ขอจงภูมิเทวดา อารักษเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา ท้าวจัตุโลกบาล ท้าวอัฐโลกบาล ท้าวทัศโลกบาล เทวดาผู้มีฤทธิ์สิทธิศักดิ์ จงช่วยอภิบาลข้าพระพุทธเจ้าให้เจริยศรีสวัสดิ์โดยบรรยายอันกล่าวมานั้นจงทุกประการ ข้าพระพุทธเจ้ารับพระราชทานน้ำพิพัฒสัจจาธิษฐานแล้ว จงให้ข้าพระพุทธเจ้าบังเกิดสุขสวัสดิภาพพ้นจากฉันนะวุฒิโรค ๙๖ ประการ เจริญอายุวรรณะสุขพละ ให้ถึงแก่อายุบริเฉทกำหนดด้วยสุขเวทนา ดุจนอนหลับแล้ว และตื่นขึ้นในดุสิตพิมาน เสวยทิพยสุไขสวรรย์สิ้นแสนกัลป์อนันตชาติครั้นข้าพระพุทธเจ้าจากสวรรค์เทวโลกแล้ว ลงมาในมนุษย์โลกจงได้พบพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า แล้วเสร็จแก่พุทธภูมิ อรหัตภูมิ พ้นจากสารทุกข์ด้วยความสัจสุจริตกตัญญูนั้นเถิด” (ดูใน เบญจมาศ พลอินทร์, ๒๔๒๓ : ๒๓)
http://www.ohmpps.go.th/searchsheetlist_en.php?get=1&offset=34449
เค้าต้องเอาน้ำไปต้มก่อนรึปล่าวครับ
ตอบลบ